[SF EXO] Breath - Hunmin [1/2] - [SF EXO] Breath - Hunmin [1/2] นิยาย [SF EXO] Breath - Hunmin [1/2] : Dek-D.com - Writer

    [SF EXO] Breath - Hunmin [1/2]

    ผู้เข้าชมรวม

    1,436

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    1.43K

    ความคิดเห็น


    22

    คนติดตาม


    28
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  23 ก.พ. 57 / 22:25 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
















    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ




      Breath

      Sehun x Minseok

       

      มือที่กำมือถืออยู่เกร็งจนสั่นไปทั้งมือ เมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นเบาๆจากเครื่องมือสื่อสารนั้น พยายามไม่ใส่ใจกับมัน แล้วก้าวเดินต่อ แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อจู่ๆเท้าที่กำลังก้าวเดินก็หมดแรงขึ้นมาซะเฉยๆจนต้องใช้มืออีกข้างที่ว่างยันผนังเอาไว้  พยายามทรงตัวให้ยืนด้วยขาทั้งสองข้าง แต่ด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้ แค่ยืนก็เหมือนมันจะยากเกินไป สุดท้ายเลยได้แต่ค่อยๆทรุดกายลงนั่งบนพื้นตรงโถงทางเดินช้าๆ ใช้หลังพิงผนังเอาไว้เพื่อทรงตัว ก่อนจะชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นมา

       

      มือถือที่เขากำเอาไว้ยังคงสั่นครืดอยู่ในมือ เขาค่อยๆยกมันขึ้นมาดู หน้าจอที่ปรากฏรูปของคนที่โทรเข้า เรียกรอยยิ้มที่ดูอ่อนแรงบนใบหน้าขาวซีด

       

      ทั้งๆที่อยากจะกดรับสายแล้วฟังเสียงของอีกฝ่ายที่เขาคิดถึง แต่สิ่งที่เขาทำกับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามเมื่อนิ้วมือเลื่อนไปกดตัดสายนั้นก่อนจะกดปิดเครื่องทันที

       

      ขอโทษนะ มินซอก

       

      ริมฝีปากที่แตกแห้งเอ่ยประโยคนั้นขึ้นมาอย่างแผ่วเบา เปลือกตาทั้งสองข้างค่อยๆปิดลงเมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่เอ่อขึ้นมาที่ดวงตาทั้งสองข้าง

       

       

      ฉันขอโทษมินซอก ขอโทษได้แต่พึมพำคำว่าขอโทษอยู่กับตัวเองอยู่อย่างนั้น ยกเครื่องมือสื่อสารเครื่องบางขึ้นมาแนบอกราวกับต้องการส่งผ่านคำพูดเหล่านั้นไปให้กับคนที่อยู่ปลายสาย

       

       

       

       

       

       

      มินซอกลดมือถือลงมาเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณที่ถูกตัดไป มองหน้าจอมือถือของตัวเองที่กลับมาหน้าโฮม ก่อนจะกดโทรออกไปยังเบอร์เดิม คราวนี้มันกลับไม่มีสัญญาณตอบรับจากเบอร์ปลายทาง เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเก็บมือถือลงไปในกระเป๋ากางเกง

       

      มันจบแล้วสินะ

       

      ได้แต่บอกตัวเองด้วยประโยคเดิมๆซ้ำๆ แต่มันก็ไม่ได้ซึมซับเข้าไปในสมองเลยสักครั้ง คงเป็นเพียงคำพูดที่หยิบยกขึ้นมาเพื่อปลอบโยนตัวเองเพื่อไม่ให้ความผิดหวังเกาะกินหัวใจไปมากกว่านี้

       

       ทั้งที่มันก็นานแล้วกับการเลิกรา

       

      ทั้งที่เซฮุนก็มีคนใหม่ไปแล้ว แต่ทำไมเขาถึงได้จมปลักอยู่กับความทรงจำเก่าๆ

       

      ทั้งที่ควรทิ้งทุกอย่างให้เป็นเพียงอดีต แต่เขาก็ยังคอยรื้อฟื้นมันอยู่ทุกครั้ง

       

      เพราะคิมมินซอกคนนี้ยังรักได้แค่เพียงโอเซฮุน

       

      มินซอกให้ฉันไปส่งไหมคนถูกเรียกหันไปส่งยิ้มกว้างให้กับคนใจดีที่หยิบยื่นน้ำใจมาให้

       

      ไม่เป็นไรหรอกชานยอล ฉันกลับเองได้ตอบปฏิเสธออกไปเสียงอ่อย เมื่อเห็นแววตากึ่งบังคับของชานยอลกลับเองได้จริงๆย้ำเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับอีกคนแต่เขากับรู้สึกว่าประโยคนั้นเขากำลังบอกตัวเองซะมากกว่า

       

      งั้นกลับดีๆล่ะชานยอลตบบ่าเขาเบาๆก่อนจะเลี่ยงไปยังลานจอดรถของบริษัท มินซอกได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างของชานยอลไป แต่ภาพที่ซ้อนทับกันกลับเป็นแผ่นหลังที่เขาคุ้นเคย ร่างโปร่งของคนตัวสูงที่ดูบอบบาง กับเรือนผมสีเข้ม

       

      ภาพของคนๆนั้นที่เขาจดจำขึ้นใจ ทั้งที่ควรจะลืมเลือนมันไปซะ สุดท้ายเลยได้แต่สะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่ผ่านเข้ามาในสมองออกไป

       

       

       

      แสงไฟจากเสาไฟที่ทิ้งระยะห่างทำให้เกิดความมืดจนร่างเล็กต้องกระชับสายกระเป๋าบนไหล่ไว้มั่น สองขาที่ก้าวเอื่อยๆ เปลี่ยนมาซอยถี่จนแทบจะกลายเป็นวิ่งเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาจากข้างหลัง

       

      เพราะเส้นทางกลับบ้านของเขาอยู่ห่างจากป้ายรถเมลพอสมควร แล้วเวลาดึกดื่นแบบนี้เลยแทบจะไม่มีรถราให้เห็น ความเงียบที่อยู่รอบตัวทำให้ขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเอง มันเงียบสงบจนเขารู้สึกได้ถึงเสียงฝีเท้านั้น ที่แม้จะพยายามให้มันแผ่วเบาแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกได้

       

      สองสามวันมานี้ที่เขาต้องอยู่ทำงานจนดึกดื่นที่บริษัท เวลากลับบ้านเขามักจะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีใครกำลังตามอยู่  คนตัวโต ที่ใส่แว่นสีดำ กับโค้ทหนา ทั้งที่อากาศในช่วงนี้กำลังเย็นสบาย หมวกแก๊ปสีดำที่ถูกดึงลงมาปกปิดใบหน้ากับผ้าพันคอที่ปิดไปจนถึงจมูกทำให้เขาไม่อาจรู้ได้ว่าชายคนนั้นเป็นใคร แต่คนที่คอยเดินตามเขา ด้วยท่าทางแปลกๆแบบนั้น มันก็ยิ่งไม่น่าไว้ใจ

       

      มินซอกสะดุ้งกับเสียงไอแห้งๆที่ดังมาจากด้านหลัง รีบก้าวเท้ายาวๆหวังจะให้กลับไปถึงถึงที่ห้องเร็วๆ แต่เสียงไอที่ฟังดูน่ากลัวที่ดังมาจากด้านหลังก็ทำให้เขาลังเล สุดท้ายมินซอกก็ตัดสินใจหมุนตัวกลับไปมอง แล้วก็เหมือนเคยที่ชายคนนั้นหันหลังให้กับเขา

       

      คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับทำใจแข็งตะโกนถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายไอเหมือนสำลักอะไรสักอย่าง โดยที่ไม่ลืมที่จะทิ้งระยะห่างระหว่างเขากับคนแปลกหน้าคนนั้น

       

      ไปซะเสียงแหบแห้งที่ฟังไม่ค่อยชัด ปนกับเสียงไอ พร้อมกับที่ร่างนั้นค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ทำให้มินซอกรีบก้าวถอยหลังออกไปหลายก้าว

       

      "บอกให้ไปให้พ้น" เสียงตะโกนก้องของอีกฝ่ายดังขึ้นจนมินซอกสะดุ้งกับเสียงนั้น เมื่อชายคนนั้นย่างสามขุมเข้ามาใกล้มินซอกก็รีบถอยหลังกรูดแล้วรีบวิ่งหนีออกมาทันที

       

      เขาแทบจะวิ่งถลาเข้าไปหาลุงยามที่เฝ้าอพาร์ทเม้นด้วยซ้ำ แต่เมื่อไม่เห็นว่ามีใครตามมา ร่างเล็กจึงค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ส่งยิ้มให้ลุงยามที่มองเขาเหมือนเป็นเชิงถามว่าวิ่งหนีอะไรมาก่อนจะรีบเดินเข้าไปด้านใน ลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศ ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัยขึ้นมา บางทีเขาควรจะบอกกับชานยอลว่าจะเอางานกลับมาทำต่อที่บ้านดีกว่าจะต้องเสี่ยงกับการที่มีคนโรคจิตหรือเปล่าก็ไม่รู้คอยเดินตามอยู่ทุกวัน

       

      นิ้วเล็กๆจิ้มกดรหัสผ่านที่เป็นวันเกิดของใครอีกคน ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในห้อง

       

      มินซอกยังคงอยู่ที่เดิมที่ๆเซฮุนจะสามารถตามหาเขาได้เสมอเขาไม่กล้าเปลี่ยนที่อยู่ ด้วยซ้ำตอนที่เซฮุนย้ายออกไปไม่กล้าแม้แต่จะเปลี่ยนรหัสผ่านที่ประตูห้องเพราะคิด ว่าสักวันเซฮุนอาจจะอยากกลับมา แต่ 8 เดือนที่ผ่านมามันก็บอกเขาได้เป็นอย่างดีว่าเซฮุนจะไม่กลับมา ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เปลี่ยนรหัสผ่านนั้นอยู่ดี

       

      เลือกที่จะไม่เปิดไฟในห้องแล้วใช้ความเคยชินพาตัวเองไปที่เตียงนอน ความเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวันทำให้เขาไม่รีรอที่จะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม เอื้อมมือไปดึงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง หน้าจอที่สว่างวาบขึ้นมาทำให้เขาได้แต่ทำหน้าเศร้ากับหน้าจอมือถือที่เป็นรูปถ่ายของเขากับเซฮุนสมัยที่เรียนมหาลัย ดูเหมือนจะเป็นรูปคู่เพียงรูปเดียวของพวกเขา

       

       เขารู้จักกับเซฮุนตั้งแต่ตอนเรียนม.ปลาย พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้มาเรียนที่เดียวกัน แม้จะเรียนกันคนละคณะแต่พวกเขาก็หาเวลามาเจอกันบ่อยๆอยู่เสมอ

       

      ด้วยความที่เซฮุนเป็นคนหน้าตาดีแต่จัดอยู่ในประเภทขี้อายบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องในคณะ ต่างก็คอยแวะเวียนมาสารภาพรักกับเซฮุนไม่ได้ขาด ถึงเขาจะหึงแต่มือของเซฮุนที่เอื้อมมาจับมือเขาไปกุมทุกครั้งหลังเกิดเหตุการณ์แบบนั้นมัน ก็ทำให้เขารู้ว่าเขายังเป็นคนสำคัญสำหรับเซฮุนเสมอ ความอบอุ่นที่ได้รับจากมือคู่นั้นของเซฮุน นิ้วที่สอดประสานกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับจากสัมผัสนั้น มันคือความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากปลายนิ้วไปจนถึงหัวใจ

       

      สายตาที่เซฮุนใช้มองเขามันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน รอยยิ้มที่ส่งมาให้มันเป็นรอยยิ้มที่ ส่งมาจากใจ รอยยิ้มที่มักจะทำให้เขายิ้มตามเสมอแม้จะอารมณ์ไม่ดีอยู่ก็ตาม

       

      แต่ภาพความทรงจำเหล่านั้นมันช่างดูเลือนรางในความรู้สึกของเขาเหลือเกินเมื่อภาพความทรงจำที่งดงามเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยใบหน้าเฉยชาของคนที่เขารัก แววตาที่ไร้ความรู้สึกที่ทอดมองนั้นที่ทำเอาเขาเกือบหยุดหายใจ  ริมฝีปากหยักที่เคยยิ้มและกระซิบคำบอกรักกลับเอ่ยคำพูดที่กรีดลึกลงไปในใจของเขา

       

      เมื่อเซฮุนพูดว่าเซฮุนมีใครอีกคนที่รักมากกว่าใจของเขาแทบจะขาดวิ่นอยู่ตรงนั้น เขาพูดอะไรไม่ออกหรือจะพูดให้ถูกคือไม่รู้จะพูดอะไรดีต่างหากได้แต่นั่งมองเซฮุนเก็บของลงกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องไป

       

      เขาได้แต่คิดว่ามันเป็นความฝันแต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่ยอมตื่นจากฝันนี้เสียที

       

      ได้แต่มองรอยยิ้มของคนในรูปที่ยิ้มทั้งตาและปากจนเขาต้องยิ้มตาม เซฮุนผู้ชายที่อ่อน โยนคนนั้นเป็นเพียงภาพเบลอๆในความทรงจำเพราะตอนนี้สิ่งที่เขาจำได้มีเพียงใบหน้าของ ผู้ชายคนหนึ่งที่เฉยชาและไร้ความรู้สึกไม่ว่าจะมองยังไง ก็ไม่ใช่เซฮุนคนเดียวกับในรูปที่เขารัก มันอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่เขายอมปล่อยเซฮุนไปง่ายๆก็เป็นได้ เลื่อนดูรูปถ่ายในอัลบั้มที่เขาแอบถ่ายเซฮุนเอาไว้ในยามที่อีกฝ่ายเผลอ รอยยิ้มเล็กๆก็ปรากฏที่มุมปาก

       

      "ฉันคิดถึงนายเหลือเกิน เซฮุน ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนกันนะ"

       

      มินซอกพึมพำกับตัวเองจนหลับไปทั้งน้ำตา มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนที่โทรศัพท์มือถือเลื่อนหลุดจากมือ คนตัวเล็กรีบคว้าโทรศัพท์เอาไว้ ทั้งที่ดวงตายังไม่เปิดดีด้วยซ้ำ เขารู้สึกหนักที่เปลือกตา อาจเป็นเพราะร้องไห้จนหลับไปก็เป็นได้ ยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเอง แต่ก็รู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ขนตาทั้งสองข้าง มินซอกซุกหน้าลงกับหมอนนุ่มเพื่อให้มันช่วยซับน้ำตาก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา

       

      23:38 pm

       

      โดยไม่รู้ตัวนิ้วมือของเขาก็กดโทรออกไปยังเบอร์ล่าสุดเสียงสัญญาณดังขึ้นสองครั้ง ก่อนที่มันจะถูกตัดไป มินซอกกำมือถือไว้ในมือแน่นด้วยมือที่สั่นเทา น้ำอุ่นๆไหลจาก ดวงตาทั้งสองข้างตกลงบนหมอน กดโทรออกที่เบอร์เดิมอีกครั้งคราวนี้เสียงสัญญาณที่ดังขั้นเหมือนมันค่อยๆฉุดวิญญาณของเขาให้ออกจากร่างเมื่อเสียงสัญญาณที่หายไปพร้อมเสียงถอนหายใจเบาๆเข้ามาแทนที่

       

      มินซอกกัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพื่อกั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ไม่มีเสียงใดๆหลุดรอดออกมา ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจแผ่วๆที่ดังลอดออกมาตามสาย

       

      ฉะ ฉันเองนะ เซฮุนพยายามจะควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นแต่ตอนนี้เหมือนเขา ไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้เลย เสียงของเขาสั่นอย่างไม่อาจควบคุมและเขาก็แน่ใจว่าเซฮุนคงรู้ดีว่าที่มันเป็นแบบนี้เพราะเซฮุนนั่นแหละ

       

      [อืม]

       

      เป็นยังไงบ้าง สบายดีรึเปล่าเพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี เลยได้แต่ถามคำถามที่ฟังดูโง่ๆ

       

      [ฉัน... สบายดี]

       

      “...” มินซอกกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้อย่างยากลำบากได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจหนักหน่วงจากอีกฝ่าย การที่เขาโทรไปมันคงทำให้เซอุนลำบากใจมากเลยสินะ

       

      เซฮุน ฉัน.../ [เซฮุน ยังไม่นอนอีกเหรอดึกมากแล้วนะ] เสียงผู้หญิงที่ดังเข้ามาในสายทำให้มินซอกต้องกลืนคำพูดที่อยากจะเอ่ยกลับลงไปในคอ เขาแทบปล่อยโฮออกอย่างห้ามไม่อยู่จนต้องกัดมือตัวเองเอาไว้

       

       เขารู้ดีว่าเซฮุนมีคนข้างกายอยู่แล้ว รู้ตั้งแต่เซฮุนบอกว่ามีคนที่รักมากกว่า รู้ว่าอย่างเซฮุนคงไม่มาจมปลักกับคนอย่างเขา แต่ถึงจะรู้เขาก็ยังแอบหวังลึกๆว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างของเซฮุนที่ยกมาเพื่อจะเลิกกับเขา

       

      แต่พอได้ยินเสียงของคนใหม่ของเซฮุนเขาก็รู้สึกเหมือนหัวใจของเขามันกำลังแตกสลาย ตลอดเวลามีแค่เขาเท่านั้นจริงๆสินะที่ยังรักที่ยังรอ

      มีแค่เขาที่คิดเพ้อไปเองฝ่ายเดียวจริงๆ

       

      มันถึงเวลาแล้วหรือยังที่เขาควรจะตื่นสักที

       

       

       

      เหลือบมองคนที่จู่ๆก็เปิดประตูเข้ามาด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะก้มลงมองที่มือถือของตัวเอง แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเมื่อปลายสายวางสายไปแล้ว

       

      นายกำลังร้องไห้อยู่อีกรึเปล่ามินซอก

       

      ผม กำลังจะ...จะนอน...แล้วเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากก่อนจะขยับตัวลงนอน แทยอนรีบเขามาช่วยพยุงร่างโปร่ง จัดหมอนให้รองศีรษะนั้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะดึงมือถือในมือของอีกคนออกมาอย่างถือวิสาสะ แล้วจัดการเก็บมันลงไปในลิ้นชักข้างเตียง

       

      "งั้นก็รีบนอนได้แล้ว" แทยอนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาจนถึงอกของร่างสูง แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นมามองอย่างแปลกใจเมื่อมือคู่นั้นเอื้อมมาจับแขนของเธอไว้

       

      "เวลาของผม   เหลื    อีก ไ ม่ มา  ก แล้วสิ  นะ" รอยยิ้มที่ระบายบนหน้าสวยค่อยๆจางไป แทยอนถอนหายใจออกมาเบาๆ มองใบหน้าที่เคยดูหล่อเหลาที่บัดนี้ไม่เหลือเคร้าโครงเดิม รอยคล้ำกับดวงตาที่ดูลึกโบ๋นั้น เป็นเครื่องบ่งบอกได้ดีว่าคนไข้ในความดูแลของเธอคงไม่ได้พักผ่อนเลย ริมฝีปากได้รูปที่เคยเป็นสีแดงเรื่อ ตอนนี้กลับมีรอยคล้ำและแห้งแตก ยอมเมื่อเอ่ยคำพูดออกมา ก็บิดเบี้ยว สบตากับดวงตาที่ดูอ่อนแรงนั้นช้าๆ ความอ่อนแอนั้นฉายชัดจากนัยน์ตาที่แสนเศร้าคู่นั้น

       

      “นอนเถอะนะเซฮุน” ยกมือแตะแก้มที่ซูบตอบนั้นเบาๆ

       

      “วันศุกร์” เสียงแหบแห้งดังขึ้น ก่อนที่แทยอนจะทันได้ก้าวออกจากห้อง เธอหันกลับไปมองคนที่ค่อยๆลุกขึ้นมานั่งบนเตียงอีกครั้ง ใบหน้าของเซฮุนไม่ได้หันมามองที่เธอแต่กลับผินมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีแต่ความมืด “ผมขอออกไปข้างนอก ... นะ”

       

      แทยอนส่ายหน้าช้าๆ “วันนี้ก็เพิ่งหนีออกไปมา ฉันไม่อยากโดนคุณหมอคิมดุหรอกนะ” พูดจบก็รีบพาตัวเองออกมาจากห้องก่อนที่เธอจะยอมใจอ่อนแล้วช่วยให้เซฮุนออกไปข้างนอกอีก เพราะทุกครั้งที่ออกไป เวลากลับมาอาการของเซฮุนก็จะทรุดลง เพราะอากาศเย็นๆข้างนอกนั่นล่ะ ที่มันไม่เป็นผลดีกับเซฮุนเอาซะเลย

       

       

      แทยอนเดินตามคุณหมอหนุ่มเข้ามาภายในห้องคนไข้พิเศษ แล้วก็ต้องลอบถอนหายใจออกมา เพราะภาพสุดท้ายก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากห้องก็เป็นภาพเดียวกันกับในเวลานี้ เซฮุนยังนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเช่นเคย พอรู้ว่ามีคนเข้ามาในห้อง เซฮุนก็หันกลับมาส่งยิ้มที่ดูเหนื่อยอ่อนให้กับเธอและคุณหมอคิม

       

      “เมื่อคืนหลับสบายดีไหม” จงฮยอนเอ่ยถามขณะที่ก้มลงขีดเขียนอะไรลงบนกระดาษที่ถือติดมือมา ก่อนเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษเพื่อมองดูคนไข้ของเขา เมื่อไม่ได้รับคำตอบ

      “วัน พรุ่งนี้” จงฮยอนหยุดมือที่กำลังจดตัวเลขที่อ่านค่าได้จากเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด “ผมออกไป  ได้ไหม คะ ครั้ง สุ...”

       

      เสียงท้ายประโยคที่ขาดหายไปถูกทดแทนด้วยเสียงไอ จนจงฮยอนต้องรีบวางกระดาษและปากกาในมือลงบนโต๊ะข้างเตียงแล้วรีบเข้าไปลูบหลังของเซฮุนเบาๆ

       

      “นายแอบหนีออกไปบ่อยๆ คิดว่าพี่ไม่รู้เหรอ” คนที่มีศักดิ์เป็นพี่เอ่ยยิ้มๆ มองคนที่ทิ้งน้ำหนักตัวพิงกับหัวเตียง แล้วก็นึกสะท้อนในใจ ถึงเซฮุนจะไม่ใช่น้องชายแท้ๆของเขา แต่เขาก็รักและเอ็นดูเซฮุนเหมือนกับเป็นน้องแท้ๆ ช่างโชคร้ายที่เซฮุนต้องมีชีวิตอยู่อย่างทรมานด้วยโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษา ถึงแม้เขาจะพยายามประคับประคองอาการของเซฮุนมาถึง 3 ปี แต่ที่ทำได้คือการชะลออาการของโรคเอแอลเอสนี้ออกไป

       

      เซฮุนต้องพบเจอกับช่วงเวลาเลวร้ายเกินกว่าที่เด็กวัย 23 อย่างเขาควรจะเป็น ภาวะแทรกซ้อนที่เกินจากความดื้อรั้นของเซฮุนที่หนีออกไปนอกโรงพยาบาล ถึงเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าเซฮุนออกไปทำอะไร ในฐานะหมอเขาคงไม่อาจจะอยู่เฉยกับพฤติกรรมนี้ของเซฮุน แต่ในฐานะของพี่ชาย ถ้ามันเป็นความสุขเดียวที่จะมอบให้กับเซฮุนกับเวลาที่เหลือน้อยนิด เขาก็อยากจะช่วย

       

      “เดี๋ยวบ่ายนี้พาเซฮุนไปเอ็กซ์เรย์ปอดด้วยนะ” หันกลับไปสั่งพยาบาลสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่าง เมื่อเห็นเซฮุนมีท่าทางหายใจลำบาก

       

      “ครั้งสุดท้าย ก็   ไม่ได้เหรอครับ นี่.. ผม ขอ ... ขออนุ ญาต แล้ว ... นะ” เซอุนมองคนเป็นหมอด้วยสายตาเว้าวอน

       

      “ครั้งสุดท้ายนะ ครับ” เอ่ยต่ออย่างหมดแรง เมื่อมองไม่เห็นวี่แววของคำตอบตกลงที่เขาต้องการ หลังจากที่กลับมา เขาก็รู้สึกได้ว่าอาการของเขามันแย่ลง เวลาที่มีอยู่น้อยนิดของเขามันค่อยๆหมดลงไปทุกวันๆ จากการพยายามออกไปนอกโรงพยาบาล แม้จะรู้ว่ามันจะทำให้เขาทรุดลง แต่เขาก็ขอที่มองคนที่เขารักอยู่ไกลๆแม้จะทำได้เพียงแค่เฝ้ามองแต่นั่นก็คือสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการ

       

      “ถ้านายจะไป ฉันจะไปกับนายด้วย ตกลงไหม” เซฮุนยิ้มรับคำตอบนั้นอย่างเพลียๆ ภาพจงฮยอนตรงหน้าของเขาดูพล่าเลือนและค่อยๆห่างออกไปไกล ก่อนที่สติของเขาจะดับวูบไปโดยไม่รู้สาเหตุ

       

      จงฮยอนรับร่างที่อ่อนปวกเปียกนั้นไว้ แล้วจัดท่าทางให้คนป่วยได้นอนให้สบายที่สุด ก่อนจะส่งเข็มฉีดยาให้กับแทยอนที่ยืนคอยอยู่ “ให้เขาพักผ่อนไปก่อน ผมกับคุณยังมีเรื่องต้องคุยกันอีก นี่ยังไม่นับที่คุณช่วยให้เขาออกไปเมื่อวานอีกนะ” จงอยอนส่งสายตาดุให้กับแทยอนที่ยืนตัวลีบทำหน้าสึกนึกผิดอยู่ข้างเตียง ก่อนจะคว้ากระดาษและปากกาขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องไป

       

       

       

       

       "เย็นนี้เราจะไปเลี้ยงฉลองวันเกิดให้มินซอกกัน" หลังจากเป่าเทียนวันเกิดที่บรรดาน้องๆปักมาให้ถึงยี่สิบสี่เล่มเสร็จ เสียงของชานยอลก็ดังขึ้นโดยไม่ได้ถามความสมัครใจของตัวเจ้าของวันเกิดสักนิด

       

      มินซอกหันไปขวับไปมองชานยอลที่ฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร

       

      "ผู้จัดการจะเลี้ยงพวกเราเหรอครับ" เป็นแบคฮยอนหนุ่มน้อยผมสีแดงที่เอ่ยถามด้วยท่าทางขี้เล่น

       

      "ฉันเลี้ยงเอง วันเกิดเพื่อนคนสำคัญทั้งที อีกอย่างพรุ่งนี้ก็วันหยุด เมาให้เต็มที่"

       

      เสียงเฮพร้อมเสียงปรบมือดังเกรียวกราวหลังจบคำพูดของผู้จัดการหนุ่มไฟแรงอย่างชานยอล

       

       มินซอกได้แต่ทำหน้านิ่ว ความจริงเขาวางแผนว่าจะรีบเคลียร์งานแล้วรีบกลับไปนอนพักยาวๆ

       

       แต่สุดท้ายเขาก็โดนน้องๆและชานยอลลากออกมาด้วยจนได้ ร้านอาหารกึ่งบาร์ขนาดเล็กถูกปิดเพื่อจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับหัวหน้าฝ่ายการตลาดตัวเล็ก

       

      มินซอกกำลังนั่งจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีใสในแก้วทรงสูงอยู่เมื่อจู่ๆเขาก็โดนแบคฮยอนลากออกมาจากโต๊ะ ใครสักคนยัดไมค์ใส่มือเขาแล้วดันเขาขึ้นไปยืนกลางเวที เสียงตะโกนจากชานยอลที่ขอให้เขาร้องเพลงสักเพลงในวันเกิดทำให้เกิดเสียงเชียร์ตามมาจนสุดท้ายเขาเลยจำใจเลือกเพลงที่ผุดเข้ามาในหัวของเขาเพลงแรก

       

      และบรรยากาศที่เคยคึกครื้นค่อยๆเงียบลงตามทำนองและคำร้องของบทเพลง ความหมายเศร้าๆของเพลงๆนั้นทำให้ชานยอลต้องกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ จ้องมองดวงตาสีดำสนิทของเพื่อนรักที่ดูแวววาวจากน้ำตาที่เอ่อคลอที่ดวงตาทั้งคู่

       

      แรงสะกิดเบาๆจากข้างๆตัวทำให้เขาละสายตาจากมินซอกกลับมาข้างตัวแล้วก็เห็นใบหน้าขาวกับกลุ่มผมสีแดงๆจ้องหน้าเขาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่แบคฮยอนจะพยักเพยิดไปยังเจ้าของงานวันเกิดที่ดำดิ่งลงไปในอารมณ์เพลง

       

      ไม่น่าให้ออกไปร้องเพลงเลย

       

      ก็อยากให้บรรยากาศมันดีขึ้น ใครจะคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ล่ะแบคฮยอนทำปากยู่ก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนถือไมค์ร้องเพลงอยู่บนเวที เพราะแสงไฟที่ถูกหรี่ลงทำให้ใบหน้าขาวๆนั้นซ่อนอยู่ในเงามืด แต่จากตำแหน่งที่เขานั่งอยู่มันทำให้เขามองเห็นรอยน้ำตาที่ถูกปาดออกไปจากใบหน้านั้น

       

       

       

      นุนมูรี อีรอดเค ฮึลรอแนรีมยอน

      ตอนที่น้ำตาร่วงหล่น

       

      อากีตอน แน จากึน ซูออกดึลมาจอโด ออจอล จุล มลรา

      แม้แต่ความทรงจำเล็กๆ แสนล้ำค่า ก็ยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไง

       

       

       

      ส่งแค่นี้ก็พอ ชานยอล เดี๋ยวฉันเดินเข้าไปเองเอื้อมมือไปแตะแขนบอกคนที่ทำท่าจะเลี้ยวเข้าไปในซอย ชานยอลแตะเบรคเบาๆก่อนจะหันมามองหน้าคนที่นั่งตาบวมอยู่ข้างๆ

       

      ฉันไม่อยากให้นายเดินเข้าไปเองเลย มันดึกแล้วนะ นายบอกว่าวันก่อนมีคนตามนายอยู่ไม่ใช่เหรอ

       

      มินซอกหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนจะส่งยิ้มกว้างในคนตรงหน้า ฉันเป็นผู้ชายนะ และทางนี้ฉันก็เดินมันทุกวันอยู่แล้ว นายไปส่งฉันก็กลับรถลำบากอีก อย่าเลยน่ารีบไปส่งแบคฮยอนเถอะหันไปมองคนที่นอนหลับอยู่ที่เบาะหลังเหมือนเด็กๆ ก่อนจะคว้ากระเป๋าสัมภาระของตัวเองลงมาจากรถ โดยไม่ฟังคำทัดท้านที่ชานยอลตะโกนไล่หลังมา

       

       

       

       

      มินซอกลดจังหวะฝีเท้าที่ก้าวเดินให้ช้าลง มือเล็กเอื้อมลงไปในกระเป๋ากางเกง เพื่อหยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องบางขึ้นมา ข้อความอวยพรวันเกิดมากมายที่เขาได้รับ ถูกส่งเข้ามาทั้งวันไม่ได้ขาด แต่มันกลับไม่มีข้อความจากคนที่เขาเฝ้ารอ

       

      ถึงจะพยายามบอกตัวเองว่ามันเป็นการเฝ้ารออะไรลมๆแล้งๆ แต่เมื่อไม่เห็นข้อความจากคนที่เขารอ น้ำตาก็เอ่อขึ้นมาที่ดวงตาทั้งสองข้างอย่างช่วยไม่ได้

       

      23:56 pm

       

      สุดท้ายก็ได้แต่เก็บมือถือลงในกระเป๋า มันก็แค่วันเกิดของคนที่เป็นแฟนเก่า

       

      เซฮุนจะมาใส่ใจอะไรในเมื่อตอนนี้เซฮุนก็มีคนอื่นอยู่ข้างกายอยู่แล้ว

       

      ปิ๊บ ปิ๊บ

       

      เสียงข้อความเข้าทำให้คนที่เพิ่งเก็บมือถือเข้ากระเป๋ารีบหยิบมันขึ้นมาดูทันที หัวใจดวงน้อยเต้นเป็นจังหวะจนรู้สึกได้ เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

       

      ใช้มือที่สั่นเทากดเปิดข้อความที่ถูกส่งมาแทบจะในทันที

       

      สุขสันต์วันเกิด

       

      โอ...

       

      เพียงแค่ข้อความสั้นๆที่ถูกส่งมา ก็ทำให้ทำนบน้ำตาที่เขาพยายามจะกั้นไว้พังทลายลงมา น้ำตามากมายที่เขาไม่รู้ว่ามันมาจากไหนเอ่อล้นจากทั้งสองตา จนทางข้างหน้าดูพล่าเลือน

       

      จนต้องยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปลวกๆ

       

      คำว่าขอบคุณปรากฏบนหน้าจอ เพียงแค่คำสั้นๆคำนั้นแต่เขากับใช้เวลาไปกว่าสองนาทีเพื่อที่จะพิมพ์มันด้วยมือที่สั่น น้ำตาที่หยดลงบนหน้าจอมือถือมันยิ่งตอกย้ำความอ่อนแอของเขา

       

      จิ้มกดเบอร์โทรที่จำขึ้นใจลงไป นิ้วโป้งที่เคลื่อนไปที่ปุ่มกดส่งข้อความชะงักค้าง ความลังเลปรากฏขึ้นในแววตาของคนที่ก้มหน้ามองมือถืออยู่

       

       

       

      ร่างโปร่งที่ยืนอยู่ในเงามืดลอบมองใบหน้าที่ก้มอยู่กับหน้าจอมือถือ แสงไฟจากหน้าจอทำให้เขาเห็นว่าใบหน้ากลมๆนั้นมันเต็มไปด้วยน้ำตา ไหนจะไหล่เล็กๆที่สั่นไหวเพราะแรงสะอื้นนั่นอีก

       

      เพราะเขา

       

      เขาที่ทำให้มินซอกร้องไห้ อีกแล้ว

       

      ทั้งที่อยากจะเดินเข้าไปกอดปลอบคนตรงหน้า

       

      ทั้งที่อยากจะเอื้อมมือไปซับน้ำตาให้ แต่สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็เพียงแค่แอบมองอีกคนอยู่ในที่ไกลๆ

       

      ปิ๊บ ปิ๊บ

       

      เซฮุนสะดุ้งกับเสียงข้อความที่ดังขึ้น ดวงตาเบิกกว้างเมื่อดวงตาของเขาสบเข้ากับมินซอกที่มองมา

       

      เซฮุน?” เอ่ยเรียกอย่างไม่แน่ใจ เมื่อเห็นรูปร่างที่คุ้นตา เพราะเสียงข้อความมือถือที่ดังขึ้นหลังจากที่เขากดส่งข้อความออกไป ทำให้เขาต้องมองหาที่มาของเสียงนั้น แต่ความมืดที่ปกคลุมรอบกาย กลับซ่อนใบหน้านั้นไว้ในเงามืดราวกับไม่ต้องการให้เขามองเห็นคนๆนั้น

       

      เซฮุน เป็นนายใช่ไหมเอ่ยเสียงดัง เมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับตัวหันหลังหนีเขาและเริ่มออกวิ่ง มินซอกก็ทิ้งกระเป๋าสัมภาระใบโตของตัวเองลงบนพื้นถนน ก่อนจะออกวิ่งตามร่างนั้นไป ทั้งที่ปากก็ตะโกนเรียกชื่อของอีกคนไม่หยุด

       

      เซฮุน เซฮุน นายรอฉันด้วย

       

      มินซอกปาดน้ำตาออกจากใบหน้า เมื่อเห็นหลังไวๆของอีกคนเลี้ยวหายเข้าไปในซอยๆหนึ่ง รีบวิ่งตามไปจนสะดุดกับเชือกรองเท้าของตัวเองที่หลุดออกมาจนล้มลง มินซอกกัดฟันลุกขึ้นยืนเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ข้อเท้า แต่ก็ยังพยายามจะเดินลากขาเข้าไปในซอยนั้น แสงไฟจากเสาไฟส่องสว่างไปทั่วทั้งซอย มินซอกกวาดตามองหาร่างของคนที่เขามั่นใจว่าเห็นวิ่งเข้ามาในซอยนี้ แต่มันกลับว่างเปล่า

       

      มินซอกยกมือถือขึ้นมากดโทรออกไปยังเบอร์โทรที่เขาเพิ่งส่งข้อความไป

       

      เสียงครืดๆ ของโทรศัพท์ดังอยู่ไม่ไกลจากตัวเขา มินซอกค่อยๆก้าวเข้าไปหาต้นเสียงนั้น ด้านหลังเสาไฟฟ้าต้นใหญ่ มีโทรศัพท์มือถือที่ปรากฏหน้าจอเป็นรูปถ่ายของเขาอยู่

      เอื้อมมือที่สั่นเทาของตัวเองไปหยิบมือถือเครื่องนั้นขึ้นมาจากพื้นถนน ทั้งที่มืออีกข้างยังคงประคองโทรศัพท์เอาไว้ที่ข้างหู น้ำตามากมายไหลจากดวงตาทั้งสองข้างจนเปรอะเต็มใบหน้า มินซอกไม่ใส่ใจจะปาดมันออกด้วยซ้ำ เสียงสัญญาณมือถือที่ข้างหูตัดไป พร้อมกับแรงสั่นจากมือถืออีกเครื่องในมือเขาที่หายไป

       

      เซฮุน นายมันใจร้าย

       

      ตอนนี้วิธีเดียวที่เขาจะสามารถติดต่อเซฮุนได้ มันถูกตัดขาดไปแล้ว เขาไม่เคยรู้เลยว่าตั้งแต่ที่เซฮุนออกจากห้องเขาไปแล้ว เซฮุนไปอยู่ที่ไหน ทำอะไร กับใคร

       

      สิ่งเดียวที่ทำให้เขายังรับรู้ถึงเซฮุนได้ก็มีเพียงมือถือที่อยู่ในมือของเขาเครื่องนี้เท่านั้น

       

      “นายมันไม่มีหัวใจ โอเซฮุน ฉันเกลียดนาย”

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      แสงอาทิตย์ที่ส่องลอดเข้ามาภายในห้องทำให้มินซอกต้องหรี่ตาเพื่อหลบแสง ดวงตาที่บวมเป่งจากการนอนร้องไห้ทั้งคืนค่อยๆปิดลง แต่น้ำตาอุ่นๆยังคงไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้างไม่ขาดสาย

      ในมือของเขายังคงกำมือถือของเซฮุนเอาไว้แน่น  หลังจากที่เขาพาตัวเองกลับมาที่ห้อง ก็เปิดดูข้อมูลในมือถือดู แต่มันกลับไม่มีอะไรเลยสักอย่าง มีเพียงแค่ข้อความที่ถูกส่งออกมายังเบอร์ของเขา

       

      บางที เซอุนคงอยากให้เขาหายออกไปจากชีวิต ชีวิตของเซฮุนที่มีผู้หญิงคนนั้นอยู่เคียงข้าง และเพื่อตัวเขาเอง มินซอกก็จะทำแบบที่เซฮุนตั้งใจ

       

      ตอนนี้เขาจะใช้น้ำตาพวกนี้ลบเซฮุนออกไป

       

      ลบความทรงจำที่เกี่ยวกับคนๆนี้

       

      ลบเซฮุนออกไปให้เหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกัน

       

      ถึงแม้มันจะยาก แต่ความเจ็บปวดที่เขาได้รับมันก็มากพอแล้ว

       

      น้ำตาที่พรั่งพรูในตอนนี้ มันจะลบภาพของผู้ชายคนนั้นออกไปได้รึเปล่า

       

      เขาก็ยังหาคำตอบให้ใจที่บอบช้ำนี้ไม่ได้




      ฝากเม้นกันด้วยนะคะ
      ขอบคุณค่ะ
      Jyploy





      cinna mon

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×